“โลกยั่งยืนได้เมื่อเรา (ยอม) เปลี่ยน” THE FARMER X เลน้อย คราฟท์
ในยุคนี้ใครไม่เปลี่ยนย่อมไปไม่รอดในโลกที่ท้าทาย เพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เราทุกคนกำลังเผชิญอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และไม่มาเพียงชั่วครั้งคราว แต่กำลังกลายเป็นปกติวิสัยให้เราพบเจอได้ทุกเมื่อเชื่อวัน นับตั้งภูมิอากาศสุดขั้ว ร้อน ฝน หนาว สามฤดูในหนึ่งวัน น้ำท่วมฉับพลัน และความร้อนแล้งยาวนาน ทุกอย่างนี้กำลังจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกวันๆ จนกลายเป็นเรื่องปกติ
Be the Change: Sustainable in Everyday Life” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 ที่ True Digital Park (West) เพื่อรวบรวมผู้คนที่มีใจรักในความยั่งยืนมาร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์ โดยสื่อออนไลน์สร้างสรรค์ The People จึงเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคมทั้งประชาชน ภาครัฐ และเอกชนมาช่วยกันขบคิด รวมทั้งนำเสนอไอเดียที่จะช่วยทำให้โลกใบนี้ของเราไปรอดให้ได้
อนันต์ ลือประดิษฐ์ ผู้บริหาร The People ได้กล่าวถึงความจำเป็นของการปรับตัวเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในช่วงพิธีการเปิดงานว่า “มนุษย์เราต้องมีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอไม่ว่าจะอยู่ในยุคใด ในปัจจุบันเรารับทราบโดยทั่วกันว่าโลกของเรามีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ก็คงถึงเวลาที่เราต้องเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้ไปพร้อมกัน” คำพูดนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ทุกคนต้องร่วมมือกันในการสร้างความยั่งยืน

ในงานนี้เรายังได้รับฟังทัศนะจากวิทยากรรับเชิญที่แสดงวิสัยทัศน์ต่อการเปลี่ยนแปลงที่ทำได้ในชีวิตประจำวันอย่างแตกต่างและหลากหลายแง่มุม อาทิ คุณพรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้กล่าวถึงความท้าทายของกรุงเทพฯ ในการทำให้เมืองนี้เป็นเมืองที่น่าอยู่และเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเน้นการพัฒนาให้คนกรุงเทพฯ สามารถเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนสาธารณะได้อย่างไร้รอยต่อ ความท้าทายนี้ไม่ได้อยู่ที่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหญ่โต แต่คือการทำให้ระบบทั้งหมดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รวมถึงวิทยากร 4 คน ได้แบ่งปันประสบการณ์และแนวคิดในการสร้างความยั่งยืนในชีวิตประจำวัน คุณวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล นักทำสารคดีและนักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม ได้พูดถึงการจัดการสิ่งแวดล้อมเชิงโครงสร้าง โดยเน้นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบาย และบทบาทของภาครัฐในการสร้างความยั่งยืน

คุณชารีย์ บุญญวินิจ ผู้บุกเบิกฟาร์มลุงรีย์ เล่าถึงการจัดการอาหารจากฟาร์มและการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนผ่านการเกษตรในเมือง เขาเริ่มต้นจากการเลี้ยงไส้เดือนเพื่อทำปุ๋ยและเพาะเห็ด จนปัจจุบันพัฒนาฟาร์มนี้เป็นธุรกิจร้านอาหารชื่อ “โอมากาเห็ด” ที่เน้นการใช้วัตถุดิบทุกส่วนให้เกิดประโยชน์สูงสุด

คุณภูมิ โกเมศโสภา Co-Founder Reviv และแพลตฟอร์ม Wonwon ได้พูดถึงการส่งเสริมวัฒนธรรมการซ่อมเสื้อผ้าในสังคมไทย ผ่านแนวคิด Circular Economy เพื่อรักษามูลค่าของสิ่งของและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดย Reviv มีโครงการต่าง ๆ เช่น Repairability Index, WonWon Platform และ Repair Cafe ที่หวังจะสร้างวัฒนธรรมการซ่อมแซมให้เกิดขึ้นในสังคมไทย

ปิดท้ายด้วยคุณศิระ ลีปิพัฒนวิทย์ เจ้าของธุรกิจเรือไฟฟ้าสุขสำราญ ที่เน้นการท่องเที่ยวแบบไม่สร้างมลพิษ โดยใช้เรือไฟฟ้าในการล่องคลองบางหลวง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดขยะในสายน้ำ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักท่องเที่ยวที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

งานนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงแบรนด์ชั้นนำที่มาร่วมแสดงนวัตกรรมและโครงการเพื่อความยั่งยืน เช่น แสนสิริ เมย์แบงก์ ฟรอลิน่า ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี และ ศรีตรังโกลฟส์ โดยมีการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร Recycle Day Thailand UncleRee Think และ The Farmer ที่ร่วมมือกับเลน้อย คราฟท์ ร่วมส่งต่อแรงบันดาลใจจากผลิตภัณฑ์กระจูดเพื่อความยั่งยืนที่เลน้อย คราฟท์มุ่งมั่นและตั้งใจเพื่อการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้แก่โลก


THE FARMER X เลน้อยคราฟต์ งาน Be the Change โลกเปลี่ยนได้เมื่อเรา (ยอม) เปลี่ยน
“เลน้อยคราฟท์เราเน้นคือความยั่งยืน เป็นอาชีพที่เน้นความยั่งยืน
ไม่ใช่ความยั่งยืนแค่ครอบครัวหรือชุมชน แต่เป็นความยั่งยืนของระบบนิเวศทะเลน้อย”
เลน้อย คราฟท์ วิสาหกิจชุมชนทะเลน้อย อำเภอขวนขนุน จังหวัดพัทลุง หนึ่งในเครือข่ายเกษตรกรที่ทำงานด้านความยั่งยืนร่วมกับ THE FARMER ได้ร่วมออกร้านจัดแสดงและจำหน่ายสินค้ากระจูนสาน ซึ่งเป็นกระจูดสานแบบดั้งเดิมที่ผลิตด้วยมือทุกกระบวนการและมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ตามปรัชญาของเลน้อย คราฟท์ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่คำนึงถึงความยั่งยืนแบบองค์รวม
เลน้อย คราฟท์ กระจูดสานรักษ์โลก


เลน้อย คราฟต์ คือวิสาหกิจชุมชนที่รวมตัวกันสร้าง “แบรนด์” ผลิตภัณฑ์กระจูดสานในตำบลพนางตุงและตำบลทะเลน้อย อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ด้วยการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยทักษิณ และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ซึ่งมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์กระจูดให้สามารถสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนอย่างยั่งยืน โดยเน้นการพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญคือการนำภูมิปัญญาของชาวพัทลุงที่สืบทอดการสานกระจูดมาเป็นเวลานานมาต่อยอดให้ผลิตภัณฑ์กระจูดสานเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า สะท้อนภูมิปัญญาท้องถิ่น ขณะเดียวกันก็รักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืนให้ระบบนิเวศทะเลน้อย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชาวพัทลุง
เลน้อย คราฟท์มีความมุ่งมั่นอย่างมากในการสืบทอดและนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง โดยยังคงรักษาความเป็นธรรมชาติและเอกลักษณ์ของกระจูดไว้ กระบวนการผลิตทั้งหมดเป็นการทำด้วยมือโดยช่างฝีมือที่มีความชำนาญ ทำให้ผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นมีความพิเศษและมีคุณค่าทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการออกลวดลายและผลิตภัณฑ์ที่มีความร่วมสมัยเข้ากันได้กับสังคมยุคใหม่ เลน้อย คราฟท์จึงไม่เพียงรักษาจิตวิญญาณของกระจูดไว้ได้ หากยังทำให้กระจูดมีชีวิตอยู่ต่อไปทั้งในปัจจุบันและอนาคต ผลิตภัณฑ์กระจูดที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่เพียงทำให้กระจูดยังเป็นพืชในธรรมชาติที่ได้รับการดูแล แต่ระบบนิเวศโดยรวมทั้งหมดจะได้รับปกป้อง และฐานทรัพยากรที่สร้างรายได้แก่ชุมชนอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ช่างฝีมือกระจูดยังสามารถทำงานที่พวกเขารักและเชี่ยวชาญ ซึ่งเลน้อย คราฟท์ได้สนับสนุนให้ช่างฝีมือชาวบ้านได้มีส่วนกับแบรนด์ ทำให้ทักษะฝีมือเชิงช่างได้รับการอนุรักษ์และส่งต่อ สามารถสร้างให้เกิดรายได้และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน
ผลิตภัณฑ์ของเลน้อย คราฟ์ ไม่เพียงแต่มีความสวยงามและใช้งานได้ดี แต่ยังเป็นตัวแทนของความยั่งยืนและการรักษาสิ่งแวดล้อม ทั้งกระเป๋าถือ หมวก เสื่อ และของตกแต่งบ้านทุกชิ้นต่างมีความพิเศษและสะท้อนถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น การสนับสนุนเลน้อยคราฟท์จึงไม่เพียงแต่เป็นการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ดี แต่ยังเป็นการสนับสนุนชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่ดีอีกด้วย
เลน้อย คราฟท์ EVERGREEN COLLECTION
ผลิตภัณฑ์กระจูดเลน้อย คือผลิตภัณฑ์กระจูดสานแบบดั้งเดิมที่มีกระบวนการผลิตด้วยมือทุกขั้นตอน กระจูดย้อมด้วยสีธรรมชาติ ไม่มีการใช้กาว และใช้วิธีการรีดกระจูดแบบดั้งเดิม (กลิ้งด้วยลูกกลิ้งปูนโดยใช้คนกลิ้งด้วยเท้าแบบดั้งเดิม) ซึ่งทำตามแบบภูมิปัญญาท้องถิ่นของพัทลุงโดยช่างฝีมือที่มีความเชี่ยวชาญในการสานกระจูดเส้นเล็กที่ต้องใช้ความประณีตและความชำนาญ


การร่วมมือกันของ THE FARMER และเลน้อย คราฟท์ จึงเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการรวมพลังของผู้ประกอบการขนาดเล็กที่มุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงสร้างสรรรค์โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งเราทุกคนมีส่วนร่วมได้ทันทีด้วยการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ของชุมชนเพื่อให้ความยั่งยืนจากฐานรากนี้แผ่ขยายได้อย่างมั่นคงในอนาคต



งาน Be the Change นี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความพยายามในการสร้างความยั่งยืนในชีวิตประจำวัน แต่ยังเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้คนได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระดับบุคคลไปจนถึงระดับนโยบาย และขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น



