นำเสนอเอกลักษณ์ของโกโก้ในแต่ละพื้นถิ่น ด้วยความพิถีพิถัน และใจรัก
เคาคราฟต์ (KAOKAF) เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ช็อกโกแลตที่เราประทับใจในรสชาติ และที่พิเศษไปกว่านั้นคือ การบ่งบอกที่มาของเมล็ดโกโก้บนแพคกิ้งจิ้ง ใช่… เราเพิ่งรู้ว่าเมล็ดโกโก้แต่ละพื้นที่ ให้เสน่ห์ในรสชาติที่แตกต่างกัน ความอยากรู้มันเกิดขึ้นจากตรงนี้เลย
เราทักไปหา “พี่ตูน กัมปนาท สุทธิสวาท” Founder แบรนด์เคาคราฟต์ (KAOKAF) ในเฟซบุ๊กส่วนตัว เพราะวันที่ชิมเราไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับแบบตัวต่อตัว

จุดเริ่มต้นของแบรนด์เคาคราฟต์
“แนวโน้มการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสนใจกับแหล่งที่มา กระบวนการ และวิธีการมากขึ้น อยากรู้ว่าทำมาจากอะไร ที่ไหน ผลิตอย่าง ใส่อะไรเข้าไปบ้าง ทำไมถึงอร่อย? โดยเฉพาะกับสินค้าที่ต้องบริโภคเข้าไป ผมก็เป็นคนลักษณะนั้นเช่นกัน”
แค่ประโยคแรกของพี่ตูน ก็ทำให้เรารู้สึกว้าวแล้ว เพราะเราเองก็เป็นคนที่สนใจแหล่งที่มาของสิ่งที่ตัวเองสนใจเหมือนกัน
พี่ตูนเล่าต่อว่า “ความสนใจช็อกโกแลต เกิดขึ้นหลังจากการได้เดินทางไปซื้อช็อกโกแลตจากต่างประเทศในแหล่งที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตช็อกโกแลต ประเทศเหล่านั้นพยายามนำเสนอขายผลิตภัณฑ์และให้ความรู้ถึงที่มากระบวนการผลิตช็อกโกแลต จากความรู้ที่ได้เกิดเป็นข้อสงสัยและคำถามในใจผมมาตลอดว่า ประเทศที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตและทำรายได้จากช็อกโกแลตมากมายเหล่านั้นไม่ได้เป็นต้นทางของวัตถุดิบ หรือเรียกง่ายๆ ว่าปลูกผลโกโก้ไม่ได้เลย ขณะที่ประเทศที่ผลิตผลโกโก้ได้กลับไม่ได้รับการรับรู้หรือเป็นที่รู้จัก”

“หลังจากได้ข้อมูลของประเทศที่ปลูกบางส่วน จึงเกิดคำถามว่าประเทศไทยซึ่งนำเข้าช็อกโกแลตจากต่างประเทศเยอะ และช็อกโกแลตคุณภาพดีมีราคาสูงหาได้ยากนั้น สามารถปลูกผลโกโก้ได้หรือไม่ ซึ่งคำตอบ ณ เวลานั้น พบว่าปลูกได้ดี มีการส่งเสริมและปลูกกันหลายพื้นมากทีเดียว แต่คนที่ไม่ได้อยู่ในวงการกลับแทบไม่รับรู้ข้อมูลเหล่านั้นเลย ด้วยความตื่นเต้นผมจัดเตรียมการปลูกในพื้นที่เล็กๆ ทันทีตามความสนใจ ซึ่งยังไม่ได้คิดไปต่อด้วยซ้ำว่าจะขายที่ไหน ราคาเท่าไหร่ เอาไปผ่านกระบวนการอะไรต่อ คิดแค่ว่าไทยปลูกได้ ประเทศที่ขายช็อกโกแลตดังๆ ปลูกไม่ได้ เราต้องดีกว่าแน่ๆ”
มันดูง่ายขนาดนั้นเลยหรอ เราพลางคิดในใจ และก็เป็นอย่างที่เราคิดจริงๆ ว่ามันไม่ได้ง่ายแบบนั้น!!

“หลังจากไปลงมือปลูกและหาข้อมูลเพิ่มเติม จึงพบว่าในกลุ่มผู้ที่ปลูกสำเร็จแล้วมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งที่ขาย ผู้รับซื้อ ราคาที่ขายได้ และกระบวนการอื่นๆ อีกมากมาย ที่ไม่จบแค่การปลูกให้ได้ผลผลิต ผู้ปลูกส่วนใหญ่คือเกษตรตัวจริงที่ทุ่มเทกับการปลูก แต่ไม่ได้เตรียมการมาเพื่อกระบวนการหลังการปลูกแน่นอน ผมตระหนักดีว่าตัวเองปลูกเพราะความอยากไม่ใช่เกษตรกรตัวจริง เมื่อเห็นว่ามีผลผลิตมากมายที่ประสบปัญหาและรออยู่ในตลาดอยู่แล้ว จึงเปลี่ยนความคิด หันไปศึกษาว่าเราน่าจะไปอยู่จุดที่จิ๊กซอของ Ecosystem ที่ยังขาดอยู่ เพื่อใช้ประโยชน์ของผลผลิตที่มีอยู่แล้วมาต่อยอดให้เกิดประโยชน์ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการผลิตและแบรนด์เคาคราฟต์”

จุดเด่นและเอกลักษณ์ของแบรนด์เคาคราฟต์
“สิ่งที่ผมมองเห็นคือ ตลาดผู้บริโภคช็อกโกแลตขนาดใหญ่ในไทย การรับรู้ และรู้จักช็อกโกแลตของผู้บริโภคโดยมากคือขนมหวานของว่าง แต่สิ่งที่เราต้องการผลักดัน คือการรับรู้ว่าช็อกโกแลตปลูกได้ในไทย ช็อกแลตที่ผลิตตรงจากเมล็ด (Bean-to-Bars) โดยไม่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรมให้คุณค่ามีคุณภาพและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเคาคราฟต์เองก็มีภารกิจที่อยากเดินไป
· พาผู้ที่ต้องการจะบริโภคช็อคโกแลตคุณภาพเหล่านั้น ให้สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้นในประเทศไทยเอง และราคาถูก (เปรียบเทียบช็อกโกแลตแบบ Bean-To-Bar เหมือนกัน)
· สร้างการรับรู้ หรือให้ความรู้ เกี่ยวกับช็อกโกแลต กระบวนการและที่มา เพื่อสร้างการตระหนักรู้กับกลุ่มผู้รักสุขภาพและเลือกหาผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตหรือโกโก้ คุณภาพสูงที่ทราบหรือตรวจสอบแหล่งที่มาต้นน้ำของการผลิตได้ เพื่อเป็นทางเลือกในการบริโภคเพื่อสุขภาพต่อไป
· สนับสนุนเกษตรกร โดยต่อยอดผลผลิตออกไปสู่ผู้บริโภคในรูปแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ
ผมทราบดีว่าในไทยมีผู้ปลูกที่ต้องการขายผลผลิต มีผู้บริโภคกลุ่มเล็กๆ แต่ขยายตัวขึ้นทุกๆ วัน ถามหาผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่เน้นกระบวนการธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่งหรือเจือปน ทราบแหล่งที่มาได้ชัดเจน และพร้อมที่จะสนับสนุนความยั่งยืนของการผลิตในประเทศ”

เริ่มต้นด้วยใจรัก และอยากเป็นฟันเฟืองเล็ก ๆ ขับเคลื่อนคราฟช็อกโกแลตในไทย
“เคาคราฟต์ผมทำเพราะใจรัก ไม่ได้มีการลงทุนอะไรมากมาย ทำกันในบ้าน ไม่ได้หวังจะเป็นแบรนด์ใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงอะไร แต่หวังจะเป็นเพียงฟันเฟืองตัวเล็กๆ ที่สร้างการรับรู้และเป็นก้าวเล็กๆ ขับเคลื่อนคราฟช็อกโกแลตในไทย เริ่มจากการขอซื้อเมล็ดจากเกษตรกรหลากหลายที่ทั่วไทย เหนือ ใต้ อีสาน ตะวันออก เฉพาะที่ยังไม่มีรายใหญ่รับซื้อ อาจจะด้วยยังผลิตได้น้อย ปริมาณการผลิตยังไม่คงที่ ยังผลิตไม่ได้คุณภาพ นำมาผลิตเป็นช็อกโกแลต และส่งกลับไปให้เกษตรกรซึ่งอาจจะไม่ใช้ผู้บริโภคช็อกโกแลตเป็นประจำก็ได้ ให้เกษตรกรได้สัมผัสผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลผลิตของตัวเอง และให้ความเห็นกันในมุมของผู้บริโภคว่าถ้าเป็นตัวเขาจะซื้อหรือไม่ มีอะไรที่คิดว่าต้องปรับกันหรือไม่ เรา Feedback กันไปมา จนบางส่วนผ่านมาเป็นผลิตภัณฑ์ของเคาคราฟต์”

“มี Chocolate Maker เพิ่มมากขึ้นในไทย และเริ่มจากไม่รู้ สั่งสมประสบการณ์ จนเก่งขึ้นในทุกๆ วัน ทั้งหมดคือพันธมิตรที่จะมาร่วมกันผลักดันวงการช็อกโกแลตและโกโก้ในไทยให้เติบโตตามแต่กำลังของตน ซึ่ง ณ วันนี้ผมไม่เคยมองว่าเรากำลังทำผลิตภัณฑ์ซ้ำๆ กันเพื่อแข่งกันเอง เสน่ห์ของช็อกโกแลตคราฟ แบบ Bean-To-Bar คือเอกลักษณ์ของรสชาติที่แตกต่างกันตามธรรมชาติรังสรรค์จากแหล่งที่มาของเมล็ด กระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมที่ไม่ผ่านการตกแต่งทางอุตสาหกรรม เทคนิคการผลิตของ Maker แต่ละท่านที่นำมาใช้ในกระบวนการผลิตโดยพยายามคงความเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด สิ่งเหล่านี้เองทำให้เกิดความแตกต่างและหลากหลายขึ้นตามธรรมชาติ ให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อตามลักษณะคาแรคเตอร์ที่บริโภคพึงพอใจ คำว่าดีที่สุดพึงเน้นที่ความพิถีพิถัน มากกว่าการจะไปตัดสินว่ารสชาติของใครอร่อยที่สุด”

“แบรนด์เคาคราฟต์ (KAOKAF) ก็นำเสนอสิ่งนั้น ให้ผู้บริโภคได้สัมผัสถึงรสชาติของช็อกโกแลตที่ควรจะเป็นไปตามธรรมชาติของผลไม้ชนิดหนึ่ง และนำเสนอเอกลักษณ์ของผลผลิตที่ได้มาจากแต่ละพื้นที่ๆ ต่างกัน โดยผ่านกระบวนการในแบบของเรา ตัวอย่างที่ผมเอาเมล็ดจากพะเยามาหมักเอง โดยก่อนหน้านั้นเมล็ดถูกส่งไปหมักอีกจังหวัดหนึ่ง หลังจากผลิตเสร็จนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญได้ลอง และให้ความเห็นว่าเค้าเคยทานเมล็ดจากสวนนี้ที่หมักที่อื่นมาก่อนแต่ไม่ได้รสชาติแบบนี้ นี่คือตัวอย่างเอกลักษณ์และความหลากหลายที่มีในช็อกโกแลตคราฟในความหมายของผม”
และเราในฐานะผู้บริโภคที่ได้ชิมช็อกโกแลตของเคาคราฟต์ เราเองก็รู้สึกไม่ต่างจากที่พี่ตูนบอกเลย ว่าเสน่ห์ของเคาคราฟต์คือ รสชาติที่เข้มข้น แต่แตกต่าง จนอยากรู้จักที่มาของผลิตภัณฑ์
“น้อยแต่มาก” งานดีไซน์ในแบบของคนไม่เก่งออกแบบ
“ผมไม่เก่งเรื่องการออกแบบแบรนด์ และก็ยังไม่ตกผลึกเรื่องการ Design แต่เชื่อคำหนึ่งว่าแบรนด์ก็คือตัวตนของเจ้าของ ผมเป็นคนเรียบง่าย สงบ ชอบความเป็นระเบียบสะอาดตา ไม่ชอบความรกรุงรังและความวุ่นวาย ถึงบางครั้งจะชอบสีสันและลวดลายในแบบน่ารักๆ บ้าง แต่เลือกโอนเอียงไปทาง “น้อยแต่มาก” การออกแบบของผมจึงสื่อสารออกไปทางแนวนั้นครับ ถึงยังไม่ถูกใจมาก แต่คนรอบข้างและเพื่อนๆ ก็พูดไปในแนวทางเดียวกันว่ามันบอกบุคลิกของผมแล้ว แต่ก็ยังแอบกังวลนิดๆ ว่าการออกแบบของเราพอไปวางคู่กับแบรนด์อื่นที่มีลวดลายน่ารักและสีสัน Colorful แล้วความดึงดูดมันหายไปเลย (หัวเราะ)”

แต่ความมินิมอลของแพคเกจจิ้งแบบนี้ ก็ดึงดูดสายตาของผู้คนไม่ต่างจากความคัลเลอร์ฟูลนะคะ เผลอๆ เด่นกว่าด้วยซ้ำเมื่อวางรวมกัน เพราะของพี่เรียบง่ายที่สุดเลย เราตอบพี่ตูนไปแบบนั้น
“ผมแอบมองตลาดช็อกโกแลตคราฟในไทยจะค่อยพัฒนาและเติบโตแบบตลาดกาแฟ ไม่ต้องใหญ่ที่สุด ไม่ต้องเป็นที่หนึ่ง ไม่ต้องขึ้นชื่อว่าทำมาเนินนานก่อนใคร ไม่ต้องอร่อยที่สุดแต่มีเอกลักษณ์ที่เป็นของเราเองที่ไม่ต้องเหมือนใคร หาทานได้เฉพาะจากผู้ผลิตที่ใช้วัตถุดิบของไทย มี Ecosystem ที่ขับเคลื่อนไปได้แบบยั่งยืน คือมีต้นน้ำผลิตวัตถุดิบได้เองและเพียงพอ มีกลางน้ำที่ผลิตผลิตภัณฑ์คุณภาพได้เองและหลายหลายขึ้น มีปลายน้ำที่มีกลุ่มผู้บริโภคสนับสนุน อาจไม่ใหญ่แต่พอใจที่สุดคือทุกวันนี้ได้สื่อสารกับผู้บริโภคให้มีความรู้และความเข้าใจคราฟช็อกโกแลตได้มากขึ้นๆ ในทุกๆ กิจกรรมที่ออกไปทำครับ”
พี่ตูนไม่ใช่แค่ทิ้งท้ายถึงแบรนด์ตัวเอง แต่มองการณ์ไกลไปถึงตลาดของช็อกโกแลตคราฟในไทยที่ควรจะเป็น และอยากให้เป็น
และดูเหมือนว่าการได้พูดคุยกันผ่านแชทในครั้งนี้ เราไม่ได้แค่เพียงรู้จักเคาคราฟต์ (KAOKAF) แบรนด์คราฟช็อกโกแลตที่ชิมแล้วชอบอย่างเดียวซะแล้ว แต่ยังแอบได้ทริปในการทำธุรกิจ และแรงบันดาลใจในการที่จะซัพพอร์ตเกษตรกรของไทยมาเป็นของแถมด้วย ไม่อยากจะนึกเลย ถ้าวันนั้นเราได้คุยกันแบบตัวต่อตัว จะสนุกแค่ไหน

ขอบคุณพี่ตูนที่ตอบคำถามของนักชิมขี้สงสัยคนนี้นะคะ ส่วนใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอยากรู้จักกับเสน่ห์ของเคาคราฟต์ (KAOKAF) ก็ตามกันไปได้ที่ สวนนวลเต็ม Organic and Natural farm เลย
“ผมพิมพ์อะไรสั้นๆ ไม่ค่อยได้” พี่ตูนทิ้งท้ายบทสนทนาไว้แบบนี้